เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ถ้าพวกเราเกิดมา เห็นไหม พระรัฐบาลบอกกับญาติโยมว่า “โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ” เป็นลูกเศรษฐีแล้วออกบวชนะ พ่อแม่เอาเงินมากองไว้ขนาดไหน บอกว่าให้สึกมาปกครองสมบัติ แล้วพยายามอ้อนวอนให้พระรัฐบาลมาดูแลสมบัติต่อจากพ่อ อ้อนวอนขนาดไหนก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วพระรัฐบาลนิ่งเฉยอยู่ จนพ่อแม่ถามว่าเงินทองจะให้ทำอย่างไร พระรัฐบาลบอกว่าให้เอาไปทิ้งแม่น้ำ ให้เอาไปเทลงแม่น้ำเลย เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งนี้มันทำให้ว่าโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ

การแสวงหาของคนมันต้องแสวงหาตามความเห็นของตัวเอง ความเห็นของตัวเองต้องการหลักประกันของชีวิต ต้องการหาความจริงต่างๆ ต้องหาหลักประกัน การแสวงหาเพื่อจะมาเติมความพร่องของใจ ใจนี้มันพร่องโดยธรรมชาติของมัน แล้วจะหาสิ่งนั้นมาเติม โลกเราแสวงหากันอย่างนั้น ถึงได้ไม่สมความปรารถนาไง ความปรารถนาของโลกเพื่อจะสมความปรารถนา การแสวงหานั้นจะไม่สมความปรารถนาเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้วางธรรมไว้ ถ้าการจะได้ความเต็มของหัวใจคือการสละออก ไม่ใช่การแสวงหา การแสวงหาการได้มานั้นเป็นการสะสม เป็นการยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นจะทำให้โลกนี้พร่องตลอดไป ใจของคนจะพร่องตลอดไป ใจของคนจะเต็มต้องชักออก การสละออก การพยายามประพฤติปฏิบัติ การทำความสงบของใจ ทำไมมันถึงฟุ้งซ่าน ใจมันฟุ้งซ่านเพราะมันคิด มันคิดมันบกพร่องมันถึงมีที่ว่าง พอมีที่ว่างมันสืบต่อไป มันมีความสืบต่อไป

โลกเรา ของเราๆ แสวงหา ถ้าในห้องของเราถ้ามันว่างอยู่เราจะเอาของเข้าไปเก็บไว้ในห้องเราได้มากที่สุดเพราะมันว่างอยู่ แต่ถ้าห้องเราเต็มขึ้นมาเราจะเก็บไว้ไม่ได้ แต่ในหัวใจมันกลับกัน สิ่งที่ว่าเราได้มานี่มันกลับโล่งกลับว่างเข้าไปนะ มันยิ่งว่างมันยิ่งฟุ้งซ่านมันยิ่งคิดมาก สิ่งที่คิดไปในหัวใจมันมีแต่ความซับซ้อนในหัวใจ แล้วมันคิดไป เพราะธรรมชาติของมันเป็นธาตุรู้ สิ่งที่เป็นธาตุรู้ สิ่งที่เป็นยางเหนียวจะติดอย่างนั้นตลอดไป

การแสวงหามาขนาดไหนมันจะเป็นการฟุ้งซ่าน เราถึงต้องใช้คำบริกรรมให้อาหารใหม่แก่ใจ ความคิดของเรามันสืบต่อ คิดดีคิดชั่วมันสืบต่อ มันมีอารมณ์ มันมีความพอใจ แต่ถ้าเราคิดพุทโธมันก็เป็นความคิดเหมือนกัน คำว่าพุทโธๆ ชักออก พยายามชักออก สละออก เริ่มต้นเราสละออกให้มันเกิดความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจนี้มันสงบเข้ามา เราต้องวิปัสสนา การวิปัสสนาทำลายเชื้อทำลายความพร่องของใจ ให้มัน เต็มขึ้นมาให้ได้ การทำอย่างนั้นมันถึงว่าเรื่องของศาสนา

การสละออกคือการได้มา การได้มานั้นคือการติดพัน การติดพันโลกคิดเป็นอย่างนั้น ความแสวงหาของโลกจะต้องแสวงหามาเพื่อเราๆ จะไม่สมความปรารถนา สิ่งนั้นไม่สมความปรารถนา แล้วเวลาเราสละออกไปนี่ กิเลสมันไม่พอใจ กิเลสมันไม่ยอม การสละออกไปนี่เราสละออกให้กันไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเวลาทำทาน แม้แต่เราล้างถ้วยล้างจานเราสาดไปในน้ำคร่ำ ตัวสัตว์มันได้อาหารนั้นอันนั้นก็เป็นทาน สิ่งที่เป็นทานการสละออกไปการให้ผลประโยชน์แก่ผู้อื่นมันเป็นทาน ศาสนประโยชน์เป็นทานทั้งหมดเลย สิ่งที่เราให้ทาน วัตถุทานเป็นส่วนหนึ่ง ธรรมทานเป็นส่วนหนึ่ง เราให้วิชาการ เราให้ความรู้เราให้วิชาการ อันนี้เป็นทานอย่างสูงสุด เพราะอะไร เพราะคนเรามันจะยืนขึ้นมาได้ มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญาความพร่องของใจเราจะต้องสละมันออกไป

เราใช้ปัญญาใคร่ครวญ สิ่งที่ใคร่ครวญใช้ปัญญาย้อนกลับมา สิ่งที่เป็นปัญญาย้อนกลับมามันจะย้อนกลับมาก่อน เราเชื่อศาสนานะ ถ้าเราไม่มีศรัทธา เราไม่มีความเชื่อ สิ่งที่เราใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ เกิดมาเหยียบแผ่นดินแล้วเหยียบแผ่นดินผิด ในพระพุทธศาสนา วิชาการอันนี้ สุตมยปัญญา เราศึกษาธรรมมาเรามีความซึ้งใจ มันซึ้งใจนะ วิชาการต่างๆ เวลาเราศึกษาเข้าไปเราจะแปลกประหลาดเรามีความรู้ขึ้นไป มันจะมีความเต็มของมัน ความเต็มอันนี้มันเป็นเรื่องของโลกียะไง ความพอใจ สิ่งที่พอใจมันเป็นอาการ มันเป็นอารมณ์ของใจ สิ่งที่พอใจมันพอใจได้ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วมันก็ขัดข้องความขัดข้องใจไง

ความอาลัยอาวรณ์ความขัดข้องของใจนั้นคือเชื้อไง คือกิเลส ไม่มีใครเคยเห็นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้อันนี้ ในศาสนาเราถึงว่าเป็นศาสนาพุทธมีความลำบากมากต้องใช้ปัญญาตลอดเลย ใช้ปัญญาสิ เพราะอะไร เพราะเราจะชำระกิเลส สิ่งที่ชำระกิเลส กิเลสมันอยู่ในใจของเรา เราต้องใช้ปัญญาเข้าไปใคร่ครวญ สิ่งที่ใคร่ครวญเริ่มต้นมันก็เป็นสุตมยปัญญา ปัญญาการศึกษามา จินตมยปัญญา แล้วเราก็เกิดจินตปัญญา คิดให้มันสงบเข้ามาๆ นั้นนะ ใจมันเริ่มชักออกนะ ชักสิ่งต่างๆ ชักความฟุ้งซ่านออกไป มันอิ่มเต็ม แต่มันอิ่มเต็มชั่วคราว

ความสงบของใจมันมีความสุขมาก มันมีความอิ่มเต็มชั่วคราว ความอิ่มเต็มชั่วคราวถ้าเราติดมันนะ เราเพลินเราจะติดในสิ่งนี้ ถ้าติดในสิ่งนี้เราจะติดไป เพียงแต่เชื้อของมันสิ่งที่มันไปทำให้บกพร่อง มันกลืนกินตัวมันเองตลอดไป แล้วมันทำให้ใจนี้บกพร่อง ความว่างความที่สิ่งที่ว่าความว่าง มันมีนามรูปมันเป็นไปอย่างนั้น ที่ไหนมีรูปที่นั้นมีนาม นามคือความว่าง รูปคือความคิด สิ่งที่มีนามรูปมันก็หมุนกันไป สิ่งที่หมุนกันไปสืบต่อไปในหัวใจ มันจะสืบต่อไปสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้สภาวะสืบต่อกันไป สิ่งนี้มันมีอยู่ในหัวใจ

ถ้าปัญญาไม่เห็นการเกิดดับของใจ ใจที่มันฟุ้งซ่านขึ้นมามันเกิดขึ้นมาจากไหน มันมีเหตุมีผลของมัน สิ่งที่มีเหตุมีผลของมันแล้วมันก็ยึดไง พอยึดออกมา ถ้าคนหยาบมันก็ยึดออกไปข้างนอก ดูอย่างในโลกเขาสิ สิ่งที่เป็นความทุกข์มากคือการอยู่กับคนพาล คนพาลเขาไม่รู้สึกตัวเขาเองเลยนะ เขาเอาแต่ความพอใจของเขา เขามีแต่ความแสวงหาของเขา แล้วเขาเบียดเบียนคนอื่น นี่มันมืดบอดขนาดนั้น ทุกข์มากนะ บัณฑิตกลัวอยู่ใกล้คนพาล

บัณฑิตคือว่าผู้ที่เอาใจของใจเอาไว้อยู่ บัณฑิตผู้ที่ศึกษาธรรม แล้วมีความรู้สึกมีความเข้าใจเรื่องสิ่งนี้ มันมีการสละออก สิ่งที่สละออกเริ่มมีทาน ถ้ามีทานขึ้นมาสังคมมันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข มีทาน มีศีล ศีลทำให้ใจปกติไม่คิดเบียดเบียนเขา ไม่คิดเอาเปรียบเขา มโนกรรมไง เกิดขึ้นมาในหัวใจ เบียดเบียนใจของตัวเองก่อน แล้วก็ต้องความคิดว่าเราจะทำวางนโยบายอย่างไร เราจะวางแผนอย่างไร ดำรงชีวิตอย่างไร สิ่งนี้มันเป็นไป

ทำไมเราต้องหาที่สงัด เราทำไมต้องหาที่วิเวก งานของการประพฤติปฏิบัตินะให้ที่ว่าเราเดินเข้าไปแล้วเสียวๆ นั้นนะ สิ่งที่เสียวพระพุทธเจ้าให้เที่ยวป่าช้า ให้เที่ยวเข้าป่าเข้าเขา ธุดงควัตรไปเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นตัวเองไง ถ้าเราอยู่ในสังคมเราหวังพึ่งคนทั่วๆ ไป เราหวังพึ่งเขาได้ อันนี้เราจะพึ่งพาอาศัยกัน แล้วมันจะนอนใจ แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวความคิดเราจะเกิดขึ้น นี่มโนกรรม ถึงว่าต้องออกวิเวกออกธุดงค์ ออกธุดงค์เพื่อให้มันเห็นเวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เราทุกข์เรายากมันพร่องอยู่นะ สิ่งที่พร่องอยู่คือความหิวความโหยของร่างกาย มันต้องการอาหารตลอดไป สิ่งนี้เราขาดไม่ได้เลย

เราอดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไร เราพยายามชักออก ชักออกให้เขาว่า พระเราฉันมื้อเดียวว่าสิ่งนี้มันเป็นการเคร่งเกินไปแล้ว แต่เวลาฉันมื้อเดียวแล้วมันก็ยังนั่งหลับ มันก็ยังทำความสงบของเราขึ้นมา ธาตุขันธ์มันยังมีกำลังขึ้นมา เราก็ต้องอดนอนผ่อนอาหารเข้าไปอีก ผ่อนเข้าไปเพื่อเป็นอุบายวิธีการเข้าไปให้เห็นให้ใจมันสงบเข้ามาให้ได้

ถ้าใจมันสงบเข้ามาให้ได้ นี่อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ปัญญามันจะย้อนกลับเข้ามา ในสัปปายะความที่เป็นสัปปายะการที่ทำควรแก่การงาน งานอยู่ในการคลุกคลี คลุกคลีนี่มันเพลินออกไป เวลามันสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ แต่ความว้าเหว่อันนั้นซ่อนเอาไว้ในหัวใจ แล้วก็ออกไปหวังพึ่งจากภายนอก มันกลบเกลื่อนไว้ มันไม่ยอมให้เห็นตัวเอง

แต่พอเราออกวิเวก เราอยู่ในที่สงัดขึ้นมานี่ มันไม่มีใครจะพึ่งใครได้ มันจะออกมาทั้งหมด ความคิดของเรามันจะเกิดขึ้นมา ย้อนกลับเข้ามา พอความคิดมันเกิดขึ้นมา ความพร่องของใจมันมหาศาลมากเลย แล้วมันหมุนในตัวมันเอง โครมครามๆ อยู่ในใจนะ เวลามันทุกข์ร้อนขึ้นมานะอยู่ในใจของเรา มันคึกคะนองมาก ใจนี้คึกคะนองมาก จนจะต้องชักไฟออกๆ ชักเชื้อนั้นออก ถ้าเราชักออกอันนั้นจะเป็นอุบายวิธีการ แต่ถ้าเราเติมเข้าไปนะ เติมเชื้อขนาดไหน มันจะเป็นเข้าไป ถึงต้องมีขันติก่อนไง

ถ้าเราสู้ไม่ไหว เราใช้ขันติอดทนไว้ก่อน ขันติอดทนไว้นะ พุทโธๆ ขันติอดทนไว้ก่อน ปัญญายังไม่เกิดชั่งมัน เราต้องการสมถะ สิ่งที่เป็นสมถะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันเป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรค ๘ สิ่งนี้มีแล้วมันจะมีพื้นฐาน คนเราไม่มีพื้นฐานเลย ไม่มีสิ่งต่างๆ เลย เวลาทุกข์ทุกคนบ่นนะ รู้ๆ ว่าสิ่งนี้ทำความผิด แต่ยับยั้งใจตัวเองไม่ได้ จะเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลยถ้าไม่ได้ปฏิบัตินะ รู้ว่าสิ่งนี้ผิดเพราะอะไร เพราะเราชาวพุทธ ร่างกายเกิดมาแล้วคนเกิดมาแล้วต้องตายหมด ก็รู้ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางก็รู้ทุกอย่าง

แต่มันปล่อยวางไม่ได้ เพราะเราไม่เคยฝึกฝน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพระอานนท์ ให้บอกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเถิดให้ปฏิบัติบูชานะ เป็นคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งสุดท้ายนะ “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด เธอจะอยู่ด้วยความสุขสบาย” พระพุทธเจ้าพิจารณาให้พวกเราอุบาสก อุบาสิกา พิจารณาสังขาร สังขารคือร่างกายของเราก็ได้ สังขารคือหัวใจของเราก็ได้ ความคิด ความปรุง ความแต่ง พิจารณาอยู่สิ่งนี่ ให้พิจารณาสิ่งนี้ถึงจะเป็นประโยชน์กับหลักศาสนา

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน คำสั่งสุดท้ายสั่งว่าให้เราเข้ามาให้ค้นคว้าตัวของเราเอง ร่างกายสังขารคือร่างกายและจิตใจ ค้นคว้าสิ่งนี้แล้วถึงจะเต็มขึ้นมา เต็มขึ้นมาเพราะมันติดสิ่งนี้ มันติดกายของเรา มันติดเราก่อนมันถึงติดต่างๆ ทั่วไป ติดทุกอย่างเลย ติดไปทั้งหมดเลย พอติดไปทั้งหมดเราก็วิ่งตามออกไปทั้งหมด นั้นกระแสส่งออก การภาวนาส่งออกจะไม่ได้ผลประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ทำให้มีแต่ความทุกข์ แต่ธรรมดาของกิเลสเป็นแบบนั้น เราถึงต้องพยายามดึงกลับมา

กระแสของใจนี้เร็วมาก เวลามันคิดมันคิดพุ่งออกไปข้างนอกเลย คิดออกไปข้างนอก แล้วถ้าเราไม่เคยสังเกตไม่เคยดูแลมันก็เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของเรา สิ่งนี้เป็นธรรมดาเพราะใจมันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นปกติของเขา ไม่เคยคิดเลยว่าอันนี้ถ้าเราควบคุมมันได้สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นธรรมดาเป็นปกติของเรานี่ เราปล่อยมันเป็นพลังงาน พลังงานนี้พุ่งออกไปทั้งหมดเลย

แล้วพลังงานนี่เราเริ่มพยายามทำสงบเข้ามา สะสมพลังงานขึ้นมาให้ได้ ถ้าเรามีพลังงานเราก็มีทุน ถ้าเราไม่มีพลังงานเราก็ไม่มีทุน เราไม่มีทุนเราทำอะไรก็ไม่ได้ ทำมันมีแต่ความเดือดร้อนมีแต่ความคิดออกไป ไม่เห็นสมประโยชน์เลย ทุกข์ก็ทุกข์เปล่า เหนื่อยก็เหนื่อยเปล่า อันนี้เป็นการปฏิบัติบูชานะ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราได้บุญตลอดไป เราให้วัตถุทานเป็นอย่างหนึ่ง การประพฤติปฏิบัติเป็นธรรมทาน เพราะเราปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชามันจะย้อนกลับเข้ามา ถ้าสติทันไล่ความคิดเข้ามา สิ่งที่เร็วที่สุดคิดถึงที่ไหนมันก็คิดออกไป เราพยายามย้อนกลับๆ พลังงานนี้จะนิ่งได้ ถ้าพลังงานนี้รวมตัวมันนิ่งได้ นั้นคือสัมมาสมาธิ

ถ้าปัญญาเกิดขึ้นมาจะเป็นภาวนามยปัญญา แต่ปัญญาจะไม่เกิดขึ้นภาวนาเป็นหรือไม่เป็นมันต้องเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกายตามความเป็นจริงนะ คนไม่เคยเห็นทุกคนจะงงหมดนะ ว่าเห็นกายนะเห็นอย่างไร ดูจิตนะดูอย่างไร มันจับต้องได้ มันเป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุนะ สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นวัตถุ เวลามันปวดขึ้นมานี่ เวทนาเวลามันนั่งไปนานๆ มันเจ็บขามันเป็นนามธรรม เห็นไหม มันไม่มี แต่เวลามันปวดกับเรามันเป็นวัตถุเพราะมันจับต้องได้ จิตมันสัมผัสได้ สัมผัสกับความรู้สึก สัมผัสกับความเจ็บปวดของเรา นี่มันเป็นวัตถุ

ถ้าเราจับเราพิจารณาบ่อยๆ ครั้งเข้า สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา ถ้ามันบอกว่าเพราะเรานั่งมันเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือว่าเรานั่งแล้วเลือดลมมันเดินไม่สะดวก มันก็ต้องเป็นธรรมชาติของมัน ถูกต้อง ถูกต้องส่วนหนึ่ง แต่ถูกต้องส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเราลุกไปเลือดลมมันเดินขึ้นมามันก็ดีขึ้น แต่ถ้าเวลาเราเพลิน เรานั่งดูทีวี เรานั่งเพลิน คนเขาเล่นการพนันเขานั่งสามวันสามคืนทำไมเขานั่งได้ ทำไมเลือดลมเขาเดินดีขนาดนั้นเชียวเหรอ นั่นเพราะอะไร เพราะหัวใจของเขามันไม่มีความสนใจกับสิ่งนั้นไง เขามีความมุ่งหมายคือสนใจสิ่งอื่น คือจิตมันไม่รับรู้

แต่วิปัสสนาเราเข้าไปเผชิญกับตรงหน้า เราเข้าเผชิญกับเวทนาปัจจุบัน เวลาเราเข้าไปเผชิญเวทนามันจะปวดสองเท่าสามเท่า เพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยากของเรามันมี หนึ่งเราไปเผชิญหน้ากับเวทนามันเป็นวัตถุที่เราจับต้องซึ่งๆ หน้า แล้วกิเลสของเรามันจะเสริมไป ตัณหาความทะยานอยากไม่ต้องการผลักไส

ตัณหา วิภวตัณหา อยากให้หาย อยากให้สิ่งนี้ไม่เป็นไปกับเรา ทำไมเมื่อกี้มันไม่ปวดมันไม่มี ตอนนี้มันมีได้อย่างไร สิ่งนี้จะทำให้มันฟุ้งซ่านขึ้นมา สิ่งนี้จะทำให้ความรับรู้นี้รุนแรงมากขึ้น เพราะเราไม่มีความสงบของใจ ถ้ามีความสงบของใจมันจะมีขันติบารมีอย่างนี้ แล้วพยายามอดทนไปก่อน แล้ววิปัสสนา ถ้าทนไม่ได้กำหนดพุทโธๆๆๆ เพื่อหลบ หลบมาให้เหมือนกับเขาเล่นการพนันนั่นนะ ใจเขาก็มีอยู่ แต่เขาไม่รับรู้อาการของร่างกาย เขาไปสนใจกับวัตถุอื่น เขาหลบมา เรากำหนดพุทโธก็เหมือนกัน คือเราหลบสิ่งนั้นมา หลบสิ่งนั้นมามันก็สงบเข้ามาได้ แต่อย่างนี้เป็นนักหลบ มันเป็นการฝึกฝนตนเอง

แต่ถ้าเราจะวิปัสสนา เราจะชนะกิเลส เราต้องเข้าไปต่อสู้ ต้องใช้ปัญญาเข้าไปต่อสู้ เวทนามันเกิดขึ้นมาถ้ามันเป็นมันเป็นเหมือนบาดแผล บาดแผลอยู่ที่เราๆ จะเดินไปไหนมันก็เจ็บปวดไปอย่างนั้นตลอดไป แต่นี่พอเราขยับมันก็หาย เราลุกขึ้นเดินมันก็หาย สิ่งนี้หายไง เพราะใจมันไปยึด มันเป็นนามธรรมทั้งหมด มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครดูมันไง แต่ถ้าเราสนใจเราดูมัน นี่วิปัสสนา สิ่งที่วิปัสสนาเกิดขึ้นมาปัญญาเราจะเกิดขึ้น ปัญญามันเกิดขึ้นมันแยก ถ้ามันแยกปัญญามันต่อสู้กันพอสมควรนะ มันจะเริ่มชา เริ่มไม่รับรู้กัน เวทนาสักแต่ว่าเวทนา มันไม่มีความเจ็บความปวด มันเฉย มันชาอยู่อย่างนั้น

แต่ถ้าปัญญาเราใคร่ครวญตลอดไป เวทนามันจะหลุดออกไป ความว่าหลุดมันจะหายหมดเลย จิตนี้จะปล่อยวางจะเวิ้งว้างจะว่างหมดเลย เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันจะปล่อยเข้ามาๆ จนถึงที่สุดมันจะปล่อยวางได้ สิ่งที่เป็นธรรมดานี่ความบกพร่อง เพราะตัณหาความทะยานอยากเราบกพร่อง เราใช้ปัญญาใคร่ครวญไป จนตัณหาความทะยานอยากมันเห็นตามความเป็นจริง ถ้าอยากเมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น

ถ้าใช้ปัญญาเข้าไปเห็นตามความเป็นจริงของมัน เวทนาเป็นจริงของมัน คือว่าอาการอย่างนั้นมันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นจริงของมัน มันไม่มารบกวนใจ มันหายไป มันว่างหมดเลย สิ่งที่ว่างเห็นไหม เวทนามันก็เป็นเวทนา จิตมันก็เป็นจิต มันแยกออกกัน มันเป็นความจริงอย่างนั้น พอความจริงอย่างนั้นมันแยกออกจากกัน มันไม่มีความพร่องไง อิ่มเต็มทั้งหมด ใจอิ่มใจเต็มเกิดจากวิปัสสนา

วิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันก็เหมือนกัน เกิดขึ้นมาจากปัญญาของเราขึ้นมานี่ ความบกพร่องของใจมันมีโดยธรรมชาติ ถ้าใจเราอิ่มเต็มเราจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก แต่เพราะใจเราบกพร่องเราถึงต้องเวียนตายเวียนเกิด แล้วเราก็ใช้ปัญญาของเรา เราเชื่อพุทธศาสนา เราเชื่อใจของเราให้เต็มได้ ใจเราเต็มนะ ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีใจใครเต็มเลย

เว้นไว้แต่ผู้สิ้นกิเลสแล้วเท่านั้น ใจจะเต็ม ไม่พร่องอีก ไม่กลิ้งไปอีก ถ้าใจเราพร่องมันมีน้ำหนักมีแรงถ่วง มีแรงถ่วงต่างๆ มันจะหมุนไปมันจะกลิ้งไปในวัฏฏะวนนี้แล้วเราก็จะต้องวิ่งหมุนไปในวัฏฏะวนนี้โดยธรรมชาติของมัน ใจเราพร่องอยู่ แต่เรามีปัญญา เราเชื่อในศาสนา เราพยายามถมไง ถมจากเรื่องภายนอก ทาน ศีล ภาวนา เรื่องของทานเราจะถมใจของเรา

ฝึกฝนใจของเราด้วยการสละทาน สละทานออกไปนี่สะสมขึ้นมาๆ ฝึกฝนมันฝึกฝนตั้งแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว คือความยึดให้มันพร่องมากขึ้นไป สละออกไปนี่มันเป็นผลของเรา ใจมันจะรู้สึก เราคิดถึงเมื่อปีที่แล้วสิ เมื่อหลายๆ ปีที่แล้วเราเคยทำบุญกุศลไว้ จะเป็นอาหารจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ใจเราจะนึกภาพขึ้นมาได้เลย มันไม่บูดไม่เน่าไม่เสียไม่หายนะ มันฝังลงที่ใจ ถ้าเราเก็บสะสมไว้นะมันจะไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลยนะ เป็นประโยชน์ต่อถ้าเราใช้เป็นประโยชน์ ใช้จ่ายเรื่องของร่างกาย มันก็เป็นประโยชน์ ประโยชน์เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราสละออกไปมันเป็นทิพย์สมบัติ มันฝังอยู่ที่ใจ

แต่เราฝึกฝนจนความเคยชิน ความเคยชินนี้ใจมันจะเคยชิน สิ่งนี้ทำจนเคยชิน พอมันเคยชินขึ้นมานี่มันก็รักษาศีลง่าย มันก็ทำสมาธิง่าย พอทำสมาธิง่ายถ้าเรามีปัญญา เรามีวาสนาเราจะเริ่มค้นคว้า นี่ถมให้เต็ม ถมเต็มด้วยปัญญา ปัญญาจากในหัวใจนะ เราพยายามแยกแยะ เราพยายามสละสิ่งนี้ออก มันจะถมใจของเราให้เต็ม เต็มจากภายใน ถมได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ใจเราบกพร่องตลอดแล้วจะไม่มีวันเต็มเลย ถ้าเราวิ่งแสวงหาของเราไม่มีวันเต็ม เมื่อไหร่เราหยุดแล้วเรานั่งลง เดินจงกรม นั่งลงวิปัสสนา เราเริ่มสะสม เขาจะถมที่ถมทางกันนะเขาต้องมีพื้นที่ก่อน แล้วเขาต้องเอาดินนั้นมาถม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีศรัทธา ใจของเราๆ ต้องถมใจของเราให้เต็ม ถ้าใจของเราเต็มเราจะไม่มีแรงความโน้มถ่วงในหัวใจ นามรูปในหัวใจจะไม่มี เพราะมันบกพร่องมันถึงมีนามมีรูป สิ่งที่มีนามมีรูปมันก็ต้องเคลื่อนไปตามธรรมชาติของมัน นามรูปในหัวใจหมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน เกิดดับอย่างนั้นตลอดไปเพราะมันมีความพร่องในใจ แต่ถ้าเราถมใจของเราเต็มแล้วมันจะไม่พร่องเลย

เกิดจากการวิปัสสนานะ เวลาเราทำบุญกุศลเราว่าเราต้องแสวงหา เวลาเราทำบุญนี่คนมั่งมีถึงมีโอกาส คนจนไม่มีโอกาส คนจนคนมีก็มีร่างกายมีหัวใจเหมือนกัน การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นบุญกุศลอันสูงสุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปฏิบัติบูชานี่ เรานั่งอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติบูชาได้ ขออย่างเดียวขอให้มีปัญญา ขอให้มีความเชื่อ ความเชื่อความศรัทธา คือทำจริงไง สักแต่ว่านะ ทำเล่น ทำสักแต่ว่า ทำเป็นพิธีมันก็ได้เป็นพิธี เราทำกันเป็นพิธีเท่านั้น เราไม่สละเป็นสละตาย

ถ้าเราสละเป็นสละตายนะ มันจะตายนี้เอาตายเข้าแลกๆ ดูนักรบสิ ดูพระสิ เวลาปฏิบัติขนาดไหนก็สู้ อดอาหารใครไม่หิว ทุกคนหิวทั้งนั้นนะ หิวแต่ต้องการให้ร่างกายมันเบาจะได้ภาวนาได้ง่ายขึ้นมา แต่ถ้าเวลามันอิ่มเต็มขึ้นมามันก็อิ่มเต็ม เวลาภาวนาไปมันก็นั่งไม่สะดวกไม่สบาย ทำไมเราต้องแลกมาล่ะ นักรบออกปฏิบัติมันต้องรบอย่างนั้น

เราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีร่างกาย เรามีความเห็นของเรา เราพยายามทำของเรา เลือกสิ่งใดๆ ต้องเลือก เลือกมาเพื่อเราๆ เพื่อใจ เลือกมามันจะเป็นสิ่งที่ว่าเป็นอามิสก็ให้เป็นอามิสไปก่อน ถึงเวลาถ้ามันมีปัญญาขึ้นมามันจะสละเองๆ สละสิ่งนั้นออกจากใจ จนสิ้นจนถมจนใจเต็ม แล้วใจไม่พร่อง ใจในวัฏฏะนี้ทุกหัวใจพร่องหมด เราเห็นหน้ากันนี่ทุกดวงใจพร่องหมดเลย